วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Xiaomi Mi 4

Xiaomi Mi 4 มาพร้อมกับกล่องแพ็กเกจแบบกระดาษ เน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติ ดีไซน์คล้ายกับอิฐบล็อก ส่วนด้านหลัง มีการระบุรายละเอียดและสเปคของรุ่นนี้อย่างชัดเจน ซึ่ง Xiaomi Mi 4 รุ่นที่นำมารีวิว เป็นรุ่นที่รองรับเครือข่าย 3G (WCDMA) ไม่รองรับเครือข่าย 4G ​LTE
เมื่อเปิดกล่อง ก็จะพบกับตัวเครื่อง Xiaomi Mi 4 พร้อมอุปกรณ์พื้นฐานภายใน ซึ่งประกอบด้วย Adapter, สาย microUSB, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด น่าเสียดายที่ไม่มีหูฟังแถมมาให้ด้วย
หน้าจอแสดงผลกว้าง 5 นิ้ว แบบ IPS LCD Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (441 ppi) ซึ่งจับได้ถนัดมือ ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 139.2 x 68.5 x 8.9 มิลลิเมตร และหนัก 149 กรัม
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ต่างๆ, ลำโพงสำหรับสนทนา และกล้องด้านหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่มเมนู, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ ซึ่งเป็นปุ่มแบบสัมผัส และมีไฟ LED ให้แสงสว่างด้วย ถ้าหากใช้ตอนกลางวัน อาจจะไม่เห็นแสงที่ปุ่มสักเท่าไหร่ แต่สะดวกต่อการใช้งานในเวลากลางคืนครับ
สำหรับขอบด้านข้างตัวเครื่อง เป็นอะลูมิเนียม คล้ายกับ iPhone 5S ซึ่งด้านขวาตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล และปุ่มปรับระดับเสียง ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นถาดสำหรับใส่ซิมการ์ด

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับ รีวิว Xiaomi Mi 4 มือถือจากแดนมังกรรุ่นนี้ ที่เรียกได้ว่า มาพร้อมกับสเปคแบบจัดเต็มเท่าสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ แต่สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ในราคาสมาร์ทโฟนระดับกลาง โดยจุดเด่นของรุ่นนี้ เรียกได้ว่า น่าสัมผัสกันตั้งแต่ดีไซน์ของตัวเครื่องเลยทีเดียว โดยมาพร้อมกับ หน้าจอแสดงผลกว้าง 5 นิ้ว แบบ IPS LCD Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งมีขนาดที่กะทัดรัด จับได้ถนัดมือ และพกพาได้อย่างสะดวก ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ ก็เรียกได้ว่า คุ้มค่าเกินราคาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Krait 400 Processor (Qualcomm MSM8974AC Snapdragon 801 chipset) ความเร็ว 2.5 GHz, หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB, หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB, กล้องด้านหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, กล้องด้านหลัง ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, แบตเตอรี่ขนาด 3080 mAh และรันระบบปฏิบัติการAndroid 4.4.4 (KitKat) พร้อมอินเทอร์เฟสแบบ MIUI เวอร์ชัน 6
อย่างไรก็ดี Xiaomi Mi 4 รุ่นนี้ ยังมีบางฟีเจอร์ที่ถูกตัดออกไปบ้าง อย่างเช่น ไม่รองรับ NFC, ไม่รองรับหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card และไม่รองรับการใช้งานเครือข่าย 4G LTE แต่ถ้าหากใครที่ไม่ซีเรียสกับการใช้งาน 4G LTE ก็ถือว่า เป็นรุ่นที่น่าจับจองเป็นเจ้าของ เนื่องจากมีราคาที่ไม่แรงมากนั่นเอง โดยราคาของ Xiaomi Mi 4 รุ่นนี้ อยู่ที่ 10,990 บาทเท่านั้น และมีวางจำหน่ายในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับท่านที่มองหา สมาร์ทโฟน ดีไซน์สวย สเปคแรง และฟีเจอร์แบบจัดเต็ม ในราคาไม่แพง ถือว่า Xiaomi Mi 4 รุ่นนี้ ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวครับ

จุดเด่นของ Xiaomi Mi 4

  • ตัวเครื่องขนาดกำลังกะทัดรัด สะดวกต่อการพกพา
  • เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนที่มีสเปคใกล้เคียงกัน ถือว่า Xiaomi Mi 4 รุ่นนี้ มีราคาที่ถูกกว่ามาก
  • หน้าจอแสดงผลกว้าง 5 นิ้ว แบบ IPS LCD Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (441 ppi)
  • หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Krait 400 Processor (Qualcomm MSM8974AC Snapdragon 801 chipset) ความเร็ว 2.5 GHz
  • หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 330 GPU
  • หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB
  • หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB
  • กล้องด้านหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
  • กล้องด้านหลัง ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED
  • แบตเตอรี่ขนาด 3080 mAh
  • รองรับวิทยุ FM ในตัว
  • ระบบ GPS ในตัว พร้อมฟังก์ชัน A-GPS และ GLONASS ระบบดาวเทียมของรัสเซีย
  • รองรับ Wi-Fi, 3G, Bluetooth 4.0

จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม

  • ไม่รองรับเครือข่าย 4G LTE
  • ไม่รองรับเทคโนโลยี NFC
  • ไม่รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด
  • ไม่รองรับหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card
  • ระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 (KitKat) ยังไม่ใช่เวอร์ชันใหม่ล่าสุด
  • ภายในกล่อง ไม่มีหูฟังแถมมาให้

Samsung Galaxy Tab S 10.5

Samsung Galaxy Tab S 10.5 นั้นมาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่พิเศษ 10.5 นิ้ว พร้อมความละเอียดของหน้าจอที่คมชัดเหลือเชื่อในระดับ 2560 x 1600 พิกเซล (288ppi) แบบ Super AMOLED



ด้านบนของตัวเครื่องประกอบด้วยเซ็นเซอร์ Proximity, Ambient Light และ กล้องดิจิตอลด้านหน้าความละเอียดระดับ 2.1 ล้านพิกเซล สำหรับใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันประเภท Video Call และ อื่นๆ



ด้านล่างจะประกอบด้วย ปุ่มควบคุมมาตรฐานสำหรับระบบปฏิบัติการ Android นั่นก็คือ ปุ่มเมนู, ปุ่มโฮม และ ปุ่มย้อนกลับ โดยจะมีไฟติดขึ้นเมื่อมีการสัมผัสไปยังปุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือด้วย ซึ่งจะกล่าวถึงในช่วงต่อไป



ด้านหลังส่วนบนของตัวเครื่อง จะประกอบด้วยกล้องดิจิตอลด้านหลังความละเอียดสูงระดับ 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพสภาวะแสงน้อยให้ดียิ่งขึ้น



นอกจากนี้ Samsung Galaxy Tab S 10.5 ยังมาพร้อมกับ IR Blaster สำหรับใช้งานเป็น Remote Control ควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่รองรับ เช่น โทรทัศน์ และ เครื่องเล่นซีดี เป็นต้น



ลองมาดูตัวเครื่องด้านขอบข้างกันบ้าง สำหรับด้านข้างส่วนบนจะประกอบด้วย ปุ่มสำหรับเปิดปิดเครื่อง, ปุ่มสำหรับเพิ่ม-ลด เสียง และ IR Blaster ส่วนด้านข้างส่วนล่างจะไม่มีปุ่มใดๆ อยู่ในบริเวณนี้



ตัวเครื่องด้านข้างฝั่งซ้าย จะมีเพียงลำโพงภายนอก (Speaker) ที่ให้เสียงดังเป็นพิเศษ และช่องสำหรับเชื่อมต่อชุดหูฟัง ส่วนด้านขวา ก็จะมีลำโพงภายนอกอีกหนึ่งตัว โดยระบบเสียงของ Samsung Galaxy Tab S 10.5 จะเป็นแบบ Stereo และพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆ ชมเพิ่มเติมในภาพต่อไป



สำหรับด้านซ้ายสุดของภาพ จะเป็นช่องสำหรับใส่หน่วยความจำภายนอกแบบ microSD ถัดมาก็จะเป็น ช่องสำหรับเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และชาร์จไฟแบบ microUSB และ รองรับซิมการ์ดแบบ microSIM ด้วยเช่นเดียวกัน แน่นอนว่า Samsung Galaxy Tab S 10.5 นั้นสามารถใช้งานเพื่อโทรออกได้ด้วย

แอปพลิเคชัน และการใช้งานทั่วไป บน Samsung Galaxy Tab S 10.5



สำหรับ Samsung Galaxy Tab S 10.5 นั้น จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 4.4 ซึ่งถือว่าเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมาย รับรองได้ว่าคุณจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ดีที่สุดของระบบปฏิบัติการ Android อย่างแน่นอน



โดย Samsung Galaxy Tab S 10.5 นั้นก็จะมาพร้อมกับแอปพลิเคชันเริ่มต้นอย่างครบครัน แต่อย่างไรก็ดี คุณยังคงสามารถหาดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติมผ่าน Google Play Store ได้ตลอดเวลา